คริสตจักรแท้
ความจริงที่น่าประทับใจอันหนึ่งซึ่งได้สำแดงไว้ในพระคัมภีร์ใหม่นั้นก็คือ
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของบรรดาคริสเตียนเริ่มแรกทั้งหลายในการนมัสการและการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า
พวกคริสเตียนเหล่านั้นไม่เพียงแต่เป็นอันเดียวกันในการนมัสการอย่างเดียวเท่านั้น
เขาทั้งหลายยังได้เป็นอันเดียวกันในคำสอนอีกด้วย (กิจการ 2.24)
ความจริงอันควรแก่การยกย่องทั้งประวัติศาสตร์โลกและประวัติศาสตร์ด้านพระคัมภีร์ก็คือว่า
ในสมัคอัครสาวกไม่มีการแตกแยกเป็นนิกายหนึ่งนิกายใด และบรรดาคริสเตียนที่ซื่อสัตย์ทั้งหลายก็อยู่ในความสามัคคีธรรมซึ่งกันและกันทั่วโลก
(1โยฮัน 1.7, 2โกรินโธ 8.18)
เหตุที่ทำให้บรรดาคริสเตียนทั้งหลายเป็นอันเดียวกันก็เพราะคำสอนของพวกอัครสาวก
ตัวอย่างเมื่อตอนที่เปาโลได้ไปที่กรุงโรม เขาได้ประกาศกิตติคุณอันเดียวกัน
ตามที่เขาได้เคยประกาศแล้วที่เอเฟโซ, ฆะลาเตีย, โกรินโธ
และตลอดทั่วโลก เพราะฉะนั้นผลจากคำสอนนี้จึงไม่มีการแตกแยกเป็นนิยาย (กิจการ
15.26, โรม 15.19)
สำหรับข้อความอันนี้ย่อมเป็นความจริงแก่บรรดาผู้สอนอื่น ๆ ที่ได้รับการดลใจด้วย
เพราะได้รับการทรงนำโดยตรงจากพระเจ้าเขาจึงไม่สอนสิ่งที่ขัด
หรือปฏิบัติในสิ่งนอกคอก จึงไม่เกิดนิกายใด ๆ ซึ่งเกิดจากคำสอนของเขา (โยฮัน
16.13, 14.26, 2ติโมเธียว 3.16)
ในพระคัมภีร์ใหม่เรามิได้อ่านถึงเรื่อง "นิกาย" ต่าง ๆ มากมาย
แต่เราอ่านถึงเรื่องคริสตจักร ตัวอย่างเช่น ในกิจการ 2.47 เราอ่านว่า
"ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะพ้นจากความผิดบาปของตน
มาเข้ากับจำพวกสาวกทวีขึ้นทุกวัน" พระเยซูได้กล่าวอีกว่า
"บนศิลานี้เราจะตั้งคริสตจักรของเราไว้
และประตูแห่งความตายจะมีชัยชนะต่อคริสตจักรนั้นหามิได้" (มัดธาย 16.18)
ลักษณะที่เด่นของคริสตจักรตามแบบพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่มีความแตกต่างกับวงการแตกแยกของนิกายต่าง
ๆ ในบรรดาโลกแห่งศาสนาปัจจุบันนี้
ในบทเรียนนี้เราจะได้ศึกษาเกี่ยวกับนิกายเป็นจำนวนร้อย ๆ ได้บังเกิดขึ้นได้อย่างไร,
จะได้ศึกษาย่อ ๆ ไปถึงนิกายสมัยใหม่
และจะได้ศึกษาถึงเรื่องคริสตจักรอันแท้ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยของอัครสาวก
การเป็นอันหนึ่งอันเดียวเป็นรากฐาน
ความจริงที่ทำให้บรรดาคริสเตียนที่ซื่อสัตย์ในสมัยแรกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในคริสตจักร
ไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น
การเป็นอันหนึ่งอันเดียวนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากคำอธิษฐานของพระเยซู
และเกิดจากคำสอนอันเที่ยงตรงของอัครสาวกบนห้องชั้นบน
พระเยซูคริสต์ได้ทรงอธิษฐานอย่าให้บรรดาผู้ติดตามของพระองค์แตกแยกเป็นนิกายต่าง ๆ
พระเยซูได้กล่าวเกี่ยวข้องกับอัครสาวกว่า
"ข้าพเจ้ามิได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว
แต่เพื่อคนทั้งหลายที่วางใจในข้าพเจ้าเพราะคำของเขา
เพื่อเขาทั้งหลายจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เหมือนพระองค์คือพระบิดาสถิตอยู่ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์
เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์และกับข้าพเจ้าด้วย
เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา" (โยฮัน 17.20-21)
เช่นเดียวกับพระเจ้ากับพระเยซูทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
พระเยซูได้สอนให้บรรดาศิษย์ของพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เหตุผลของการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เหตุผลของการที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันพระเยซูกล่าวว่า
"เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา" (โยฮัน 17.21)
เหตุผลอันนี้ย่อมเห็นได้ชัดในสมัยนี้มากกว่าสมัยก่อน
ในห้องที่ซึ่งใหญ่พอที่จะมีหมู่ประชุมแห่งหรือสองแห่งดีกว่าที่จะมีนิกายต่าง ๆ
ซึ่งแตกแยกกันและกัน ต่างก็ไม่ขึ้นแก่กัน และเลี้ยงนักเทศน์ของตนเอง
และนมัสการในอาคารคนละแห่ง
โลกกำลังจะตายในความบาปแต่เขากำลังใช้เงินไปอย่างเปล่าประโยชน์
และก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร
ที่จริงแล้วความก้าวหน้าของพระกิตติคุณควรเป็นความเอาใจใส่ของบรรดาผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาทุกคน
ถ้าความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่พระเจ้าทรงประสงค์บังเกิดขึ้นท่ามกลางผู้เหล่านั้นที่อ้างว่าเป็นผู้ติดตามพระเยซูคริสต์
นักเทศน์ 4 ใน 5 คนก็คงจะย้ายไปยังถิ่นอื่น ๆ ที่พระกิตติคุณยังไม่ได้ประกาศ
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างในศตวรรษแรกจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อทุกคนหันกลับมาปฏิบัติตามแบบของคริสตจักรพระคริสตธรรมใหม่
ซึ่งพระเยซูคริสต์และอัครสาวกได้กำหนดแบบอันนี้เอาไว้
หลักฐานของการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
วิธีที่จะศึกษาเรื่องคริสตจักรตามแบบพระคริสตธรรมใหม่ ข้อพระคัมภีร์ต่าง ๆ
ที่ควรรู้เกี่ยวกับการเป็นหนึ่งเดียวกันในวงการศาสนาได้นำเอามาอ้างไว้ต่อไปนี้
เพื่อชี้ให้เห็นความจริง พระคัมภีร์ชี้ให้เห็นอย่างชัดทีเดียวว่า
พระเยซูมิได้ตั้งคริสตจักรหรือนิกายหลายคริสตจักรขึ้น แต่ชี้ให้เห็นว่าบรรดาคริสเตียนในศตวรรษแรกเป็นประดุจกายเดียวกันในคริสตจักร
โกโลซาย 1.18
"พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกายคือคริสตจักร"
เอเฟโซ
1.22-23 "และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร
ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์"
เอเฟโซ 4.4-5
"มีกายอันเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว
เหมือนมีความหวังใจอันเดียวซึ่งเกี่ยวกับที่ท่านทั้งหลายทรงถูกเรียกนั้น"
1โกรินโธ
12.13 "เราทั้งหลายได้รับบัพติศมาแต่พระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายอันเดียว"
1โกรินโธ 1.10
"ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย
ข้าพเจ้าวิงวอนท่านทั้งหลายในพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ให้ท่านทั้งหลายปรองดองกันอย่าถือพวก ถือคณะ
แต่ให้ท่านทั้งหลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน"
มัดธาย 16.18
"บนศิลานี้เราจะตั้งคริสตจักรของเราไว้
และประตูแห่งความตายจะเอาชนะก็หามิได้"
กิจการ 2.47
"องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลาย
ซึ่งกำลังจะพ้นจากความผิดบาปของตนเข้ากับจำพวกสาวกทวีขึ้นทุกวัน ๆ"
คริสตจักรที่พระเยซูทรงสร้างได้ถูกพูดถึงในลักษณะเอกพจน์ตลอดทั้งพระคัมภีร์
(กิจการ 12.1, 20.28, 1โกรินโธ 12.28, ฆะลาเตีย 1.13, เอเฟโซ
3.10, 21, 5.32)
การใช้คำว่า
"คริสตจักร"
ในรูปพหูพจน์ก็เพื่อบ่งความถึงคริสตจักรท้องถิ่นซึ่งประกอบด้วยที่ประชุมหลายแห่งด้วยกัน
เช่น "คริสตจักรทั้งหลายแห่ง ณ มณฑลฆะลาเตีย"
"คริสตจักรทั้งเจ็ดในมณฑลอาเซีย" (ฆะลาเตีย 1.2, วิวรณ์ 1.4)
มักมีเหตุผลว่าพระเยซูกล่าวคลุมไปถึงคณะต่าง ๆ เมื่อพระองค์ทรงกล่าวว่า
"เราเป็นต้นองุ่นท่านทั้งหลายเป็นกิ่ง..." (โยฮัน 15.5-6)
คนที่ไม่มีอคติจะอ่านเข้าใจไปในทางตรงข้ามทีเดียวว่า พระเยซูมิได้สอนอย่างนั้น
ข้อความในประโยคต่อ ๆ
ไปจะอธิบายให้ทราบว่าพระเยซูหมายถึงสานุศิษย์ทั้งหลายที่สนิทอยู่กับพระองค์มากยิ่งกว่าหมายถึงนิกายต่าง
ๆ เหตุผลอีกอันหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือว่า ไม่ว่าจะเป็นคณะโปรเตสแตนท์สมัยใหม่หรือคณะคาธอลิคก็ตาม
เราไม่สามารถอ่านพบในพระคัมภีร์ว่าคณะหรือนิกายต่าง ๆ
เหล่านี้เกิดขึ้นในสมัยคำสัญญาไมตรีใหม่
ตามที่เราอ่านข้อความเหล่านี้และข้ออื่น ๆ ก็ไม่มีชื่อของนิกายเหล่านี้เลย
โปรดระลึกถึงคำอธิษฐานของพระเยซูเมื่อพระองค์กำลังใกล้เงาแห่งความตายบนไม้กางเขน
"เพื่อเขาทั้งหลายจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน..." (โยฮัน 17.21)
เพราะฉะนั้นอย่าให้คนหนึ่งคนใดอธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้าที่มีนิกายมากมายทุกวันนี้
เพราะเมื่อเขาทำดังนี้แล้ว
คำอธิษฐานของพระเยซูก็ไม่มีความหมายในทุกวันนี้ซึ่งไม่เหมือนกับสมัยของอัครสาวก
(กิจการ 4.32)
ลักษณะของคริสตจักรของพระคริสต์
เมื่อพระเยซูทรงสถาปนาคริสตจักร
พระองค์ได้แสดงให้เราเห็นถึงลักษณะอันเด่นชัดหลายสิ่งด้วยกัน
เพื่อให้เราเข้าใจง่าย เราได้เรียนแล้วดังตัวอย่างเช่น คริสเตียนใหม่ศตวรรษแรกเขากระทำพิธีระลึกทุกวันต้นสัปดาห์
และเขาได้ร้องเพลงด้วยเสียงถวายนมัสการพระเจ้า และเขาเหล่านั้นได้รับบัพติศมาเพื่อ
"ความผิดบาปจะยกเสีย" ลักษณะอื่น ๆ
ของคริสตจักรได้บ่งให้เห็นชัดในข้อพระคัมภีร์อื่น ๆ อีกมากมาย
1. ไม่มีผู้ใดอาจ
"ร่วมกับคริสตจักร" หรือสมัครเป็นสมาชิกได้
ในบทที่ห้าเราเรียนรู้หลังจากที่บุคคลได้รับบัพติศมาถูกต้องตามพระคัมภีร์แล้ว
บุคคลนั้นก็นับว่าเป็นบุตรของพระเจ้าและเป็นผู้ที่ "อยู่ในพระคริสต์" (โยฮัน 3.5,
โรม 6.3) เปาโลได้กล่าวว่า
"เหตุว่าคนทั้งหลายที่รับบัพติศมาเข้าสนิทกับพระคริสต์แล้ว
ก็ได้ตกแต่งตัวด้วยพระคริสต์" (ฆะลาเตีย 3.27)
ดังนั้นผู้ที่ได้ปฏิบัติตามแบบฉบับในสมัยของพระคริสตธรรมใหม่มิได้ร่วม หรือ
"สมัครเข้าเป็นสมาชิกของคริสตจักร"
เหตุผลก็คือว่าเมื่อบุคคลได้ปฏิบัติตามเงื่อนไข และเมื่อได้ถูกยกบาปแล้ว
ทันทีองค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะเพิ่มผู้นั้นเข้าสู่คริสตจักรของพระองค์
และนับว่าผู้นั้นเป็นสมาชิกเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ด้วย
ผู้เขียนหนังสือกิจการได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน คือ
"ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะพ้นจากความผิดบาปของตนเข้ากับจำพวกสาวกทวีขึ้นทุกวัน
ๆ" (กิจการ 2.47)
ความคิดที่ออกคะแนนเสียงเพื่อให้บุคคลเป็นสมาชิกของคริสตจักรตามพระคริสตธรรมใหม่
หรือออกคะแนนเสียงตัดสัมพันธ์บุคคลออกจากการเป็นสมาชิกนั้น
มิได้เป็นหลักปฏิบัติซึ่งใช้กันในยุคแรก ตัวอย่างการปฏิบัติเช่นนี้
เราพบในพระคัมภีร์อันมีบุคคลหนึ่งมีนามว่า ดิโอเตรเฟ ท่านอัครสาวกโยฮันได้ปรับโทษท่านผู้นี้อย่างหนักในการกระทำชั่วของเขา
ซึ่งโยฮันได้บรรยายไว้ดังต่อไปนี้
"มิหนำซ้ำตัวเขาเองยังไม่รับรองพวกพี่น้องนั้น และยังเกลียดกัน
คนที่ใคร่จะรับรองเขาและคัดเขาออกเสียจากคริสตจักร" (3โยฮัน 1.9-10)
ในคริสตจักรพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้ที่มีอำนาจมิใช่มนุษย์เป็นผู้ที่จะยอมรับมนุษย์หรือคัดมนุษย์ออกจากคริสตจักร
2. ไม่มีคำสอนของมนุษย์
ลักษณะที่สำคัญของคริสตจักรของพระคริสตธรรมใหม่อีกอันหนึ่งก็คือ
คริสตจักรมิได้ผูกพันโดยคำสอนของมนุษย์ คู่มือคำสอนของคริสตจักร
หรือหนังสืออื่นใดซึ่งผลิตโดยมนุษย์
สมาชิกคริสตจักรพระคริสตธรรมใหม่ในสมัยเริ่มแรกใช้พระคัมภีร์เป็นกฎบรรทัดฐานในการควบคุมความเชื่อและการปฏิบัติโดยไม่ยอมรับคำสั่งสอนของมนุษย์อื่นใดเลย
ตลอดจนกระทั่งการนมัสการก็ดี
ในพระคัมภีร์เราไม่อาจพบชื่อคำสอนของมนุษย์กล่าวไว้เลย คำสอนที่ปรากฏโฉมหน้าเป็นครั้งแรกคือ
คำสอนไนเซียน คำสอนนี้ได้บังเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 325
ซึ่งเขียนโดยมนุษย์มิใช่เป็นผู้ที่ได้รับการดลใจ
ข้อเขียนเหล่านั้นมักจะถูกเรียกว่า "คำสอนของจำพวกอัครสาวก"
ถึงแม้ว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอัครสาวกเลย ผู้ทรงคุณวุฒิได้ลงความเห็นว่า
คำสอนเหล่านั้นได้เกิดขึ้นหลายร้อยปีหลังจากสมัยของอัครสาวก
3.
ลักษณะที่บอกชัดคือความถ่อมสุภาพ
ความถ่อมสุภาพเป็นลักษณะที่สำคัญอันหนึ่งสำหรับสมาชิกของคริสตจักร
แม้ว่าผู้ประกาศกิตติคุณจะยอมรับนับถือจากคนทั่วไป
แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าผู้ประกาศเหล่านั้นจะยกย่องตนเองเหนือกว่าสมาชิกคริสตจักรที่ซื่อสัตย์อื่น
ๆ และไม่มีการยกย่องเป็น "นักบวช" ในลูกา 22.25-26 พระเยซูกล่าวว่า
"กษัตริย์ของชาวต่างประเทศย่อมกดขี่บังคับเขา
และผู้ที่มีอำนาจเหนือเขานั้นเขาเรียกว่าเจ้าคุณ
แต่พวกท่านจะหาเป็นอย่างนั้นไม่ แต่ผู้ใดในพวกท่านเป็นพี่ก็ให้เป็นเหมือนน้อง
และผู้ใดเป็นนายให้ผู้นั้นเป็นเหมือนคนรับใช้" และในมัดธาย 23
พระเยซูได้ตำหนิพวกฟาริซายอย่างแรงที่ชอบใส่เสื้อคลุมยาว ๆ
เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น
แสดงว่าตนเป็นผู้เคร่งครัดในศาสนามากยิ่งกว่าผู้ใด
ในข้อความเหล่านี้พระเยซูได้กล่าวว่า "เขากระทำการของเขาเพื่อให้มนุษย์เห็นเท่านั้น
... พู่ห้อยเสื้อของเขาก็ขยายใหญ่ออกไป
เขาชอบนั่งที่สูงในการเลี้ยงและในธรรมศาลา
กับชอบให้คนคำนับเรียกเขาที่กลางตลาดว่า "ท่านอาจารย์"
ท่านทั้งหลายอย่าใคร่ให้เขาเรียกว่า "อาจารย" เลย
ด้วยท่านมีอาจารย์แต่ผู้เดียว ท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด
และอย่าใคร่ให้ผู้ใดในแผ่นดินโลกเรียกตนว่า "บิดา" เพราะท่านมีพระบิดาแต่ผู้เดียว
คือผู้ที่สถิตอยู่ในสวรรค์" (มัดธาย 23.5-9)
ข้อความในมัดธาย
บทที่ 23 ข้อ 5-9 ในตอนท้ายได้กล่าวโทษผู้ที่ใช้คำว่า "บิดา" เป็นตำแหน่งในทางศาสนา
แต่ข้อความนี้มิได้กล่าวโทษผู้ที่เป็นบิดามารดาของตนเองในทางเนื้อหนัง
ดังตัวอย่างที่เรามักคุ้นคือ เอเฟโซ 6.2 และกิจการ 16.3, 7.4
"จงนับถือบิดามารดาของตน" สิ่งที่เราเห็นได้ชัดในหนังสือมัดธาย 23
ซึ่งพระคัมภีร์กล่าวโทษผู้ที่ใช้ตำแหน่งในทางศาสนาเช่นเดียวกับพวกฟาริซาย คำว่า
"บริสุทธิ์" (Reverend) หรือในภาษาไทยเรามักเรียกว่า
"อาจารย์" ซึ่งคำว่าบริสุทธิ์นี้มิได้ใช้ปฏิบัติกันในพระคัมภีร์
คำว่าบริสุทธิ์นี้มีใช้เพียงแห่งเดียวซึ่งใช้เพื่อกล่าวถึงพระเจ้า (บทเพลงสรรเสริญ
111.9)
ในกิจการบทที่
10 เราพบว่าเปโตรไม่ยอมให้มนุษย์ก้มกราบเขาเป็นการเกินเกียรติยศเมื่อโกระเนเลียวได้คุกเข่าลงแทบเท้าของเปรโตร
ท่านได้กล่าวว่า "จงยืนขึ้นเถิด ข้าพเจ้าเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน" (กิจการ
10.25-26) แม้ว่าทูตสวรรค์ก็ไม่ทรงอนุญาตให้มนุษย์ก้มกราบ (วิวรณ์ 19.10)
การถ่อมสุภาพอย่างนั้นจะมีคุณค่าเพื่อพระเยซูคริสต์มากทุกวันนี้
ชื่อที่ใช้เรียกพลไพร่ของพระเจ้า
ลักษณะของคริสตจักรพระคริสตธรรมใหม่อีกประการหนึ่งคือ
ชื่อที่ใช้เรียกบรรดาพลไพร่ของพระเจ้า บ่อยครั้งพลไพร่ของพระเจ้ามักถูกเรียกว่าเป็น
"คริสเตียน" (กิจการ 11.26) แต่ไม่เคยถูกเรียกว่าเป็นคริสเตียนพิเศษ
"ชนิด" หนึ่งชนิดใด พลไพร่ของพระเจ้าบางทีก็ถูกเรียกว่าเป็น "บุตรของพระเจ้า"
(ฆะลาเตีย 3.26) คริสเตียนเริ่มแรกบ่อยครั้งมักถูกเรียกว่า "สิทธิชน" (saints)
(โรม 1.7) เกี่ยวกับคำนี้ต้องทำความเข้าใจว่า
คำนี้มิได้ใช้สำหรับสาวกพิเศษซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว
แต่คำว่าสิทธิชนนี้ใช้กับผู้ที่เป็นคริสเตียนทุกคน ในโยฮัน 15.8
พวกเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็น "ศิษย์" (disciples)
ซึ่งหมายถึงผู้ที่เรียนรู้ บรรดาคริสเตียนเริ่มแรกทั้งหลายได้ชื่ออีกว่าเป็น
"ปุโรหิต" (priests)
คำนี้มิใช่ใช้กับชั้นตำแหน่งในคริสตจักร แต่ใช้เรียกบรรดาคริสเตียนทั้งหลายทั่วทุกแห่ง
(1เปโตร 2.5-9)
แต่ละคนเป็นปุโรหิตในฐานะที่ทุกคนอาจที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าได้โดยผ่านทางคนกลางคือพระเยซูคริสต์เจ้า
(1ติโมเธียว 2.5) และอาจจะถวาย "เครื่องบูชาอันมีชีวิตอยู่"
โดยการถวายตัวเพื่อพระกิตติคุณ (โรม 12.1)
เพราะพลไพร่ทุกคนจะต้องเป็นผู้ถ่อมลง เพราะฉะนั้นทุกคนจึงมีชื่ออีกว่า "พี่น้อง" (ฆะลาเตีย
6.1)
ในสมัยของพระคริสตธรรมใหม่คริสตจักรไม่มีชื่อสำหรับตัวเอง
นอกจากใช้ชื่อขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในหนังสือโรมเราอ่านว่า
"...คริสตจักรของพระคริสต์ขอคำนับมายังท่านทั้งหลาย" (โรม 16.16)
ประโยคนี้มิใช่เป็นชื่อเฉพาะแต่เป็นประโยคที่บรรยายให้เราทราบว่าคริสตจักรนั้นเป็นของพระเยซูคริสต์เจ้า
เหมือนกับที่เราพูดว่า "เสื้อผ้าของนายแก้ว" หรือ "บ้านของดาวิด" (ลูกา 1.27)
ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อใช้บรรยายให้ทราบว่าคริสตจักรเป็นของพระคริสต์
ชื่อของมนุษย์ไม่เคยใช้เพื่ออ้างถึงคริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า (1โกรินโธ 1.2,
โยฮัน 20.28) พระเยซูทรงเรียกคริสตจักรง่าย ๆ ว่า "คริสตจักรของเรา" (มัดธาย
16.18) ยังมีชื่ออื่น ๆ ที่ใช่เช่น "คริสตจักรของพระคริสต์" และ
"โบสถ์ของพระเจ้า" (โกโลซาย 1.24, 1ติโมเธียว 3.15)
ชื่อเหล่านี้ก็เป็นชื่อเช่นเดียวกันซึ่งหมายความว่า คริสตจักรเป็นของพระเยซูคริสต์
เป็นการถูกต้องเพราะพระเยซูทรงเป็นผู้สร้างและซื้อไว้ด้วยโลหิตของพระองค์ (มัดธาย
16.18, กิจการ 20.28)
ความสำคัญของการใช้ชื่อของพระเยซูคริสต์ได้กล่าวไว้ชัดในโกโลซาย
"และท่านจะประกอบกิจสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ดี จะเป็นด้วยวาจาหรือการประพฤติต่าง ๆ ก็ดี
จงกระทำทุกสิ่งในพระนามพระเยซูเจ้า คือขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาโดยพระองค์นั้น"
(โกโลซาย 3.17) และในกิจการ 4.12 เปโตรได้กล่าวถึงความสำคัญของการใช้ชื่อไว้ดังนี้
"ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย
ด้วยว่านามอื่นซึ่งเป็นที่รอดแก่เราทั้งหลายไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า"
โดยการเข้าใจความจริงเช่นนี้แล้ว
ไม่เป็นการแปลกที่พบว่าคริสตจักรท้องถิ่นได้ถูกเรียกว่า "คริสตจักรของพระคริสต์"
(โรม 16.16)
บทเรียนต่อไปเราจะได้อภิปรายกันถึงเรื่อง คริสเตียนตามแบบสมัยของพระคริสตธรรมใหม่
บทเรียนบทต่อไปจะเป็นบทสุดท้าย เมื่อท่านได้ศึกษาและตอบคำถามบทเรียนครบทั้ง 8
บทแล้ว ท่านจะได้รับใบประกาศนียบัตรอันสวยงามในไม่ช้า
ตอบคำถาม คลิกที่นี่ https://docs.google.com/forms/d/1EnG010Pqn8gdFKTdsXkvSBRo0C35d6Er8lWMuRFrvRg/viewform?usp=send_form