การนมัสการที่ถูกต้อง
ตลอดทุกยุคทุกสมัย
มนุษย์มีความสำนึกถึงผู้ที่มีอำนาจสูงสุดซึ่งเป็นผู้ควบคุมจักรวาล
ความสำนึกถึงผู้ที่มีอำนาจนี้มิใช่เราจะพบได้แต่ในพระคัมภีร์เท่านั้น
แม้แต่โดยสิ่งแวดล้อมบนพื้นโลกก็ตาม เป็นเวลานานมาแล้วดาวิดได้กล่าวว่า
"ฟ้าสวรรค์แสดงพระรัศมีของพระเจ้า และท้องฟ้าประกาศพระหัตถกิจ"
(บทเพลงสรรเสริญ 19.1)
เกี่ยวกับการนมัสการอำนาจศักดิ์สิทธิ์ตลอดทุกยุคทุกสมัยนี้เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ว่า
การนมัสการในแบบนี้ไม่เป็นที่ยอมรับในสายพระเนตรของพระเจ้า เมื่อชนชาติยิศราเอลได้นมัสการรูปโคที่ทำด้วยทองคำ
พวกเหล่านั้นคิดว่าเขาได้นมัสการ "พระเจ้า"
ที่เที่ยงแท้ซึ่งเป็นผู้ที่ได้นำเขาทั้งหลายออกจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ (นะเฮ็มยา
9.18)
พระคัมภีร์สอนว่าแม้การนมัสการของคนเหล่านี้จะเป็นไปอย่างความร้อนรนหรืออย่างจริงใจก็ตาม
การนมัสการแบบนี้ก็เป็นที่น่าสะอิดสะเอียนในสายพระเนตรของพระเจ้า (เอ็กโซโด
32.8-10)
เราได้อ่านพบการนมัสการพระเทียมเท็จ เช่น พระบาละ พระดาโฆน พระอัสธาโรธ พระโมเรค
สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจถ่องแท้ว่าการที่เราจะนมัสการพระเจ้านั้น
นอกจากที่เราต้องนมัสการต่อพระเจ้าอันเที่ยงแท้โดยตรงแล้ว
เรายังต้องนมัสการตามวิธีการที่พระองค์ได้ทรงสั่งเอาไว้
ผู้เหล่านั้นที่นมัสการรูปเคารพอาจจะอวดอ้างว่าเขากำลังนมัสการพระเจ้าผู้สร้างซึ่งมีอำนาจสูงสุดในจักรวาล
เหมือนกับที่พวกยิศราเอลได้กระทำเช่นเดียวกัน
แม้ว่ารูปเคารพเหล่านั้นจะมีรูปร่างลักษณะต่าง ๆ กันก็ตาม โดยหลักฐานทั่ว ๆ
ไปแล้วเราจะเห็นได้ว่าคนเหล่านั้นที่นมัสการรูปเคารพมิได้ลงความเห็นว่า
รูปเคารพนั้นเป็นพระเจ้าจริง
แต่คนเหล่านั้นคิดว่ารูปเคารพนั้นเป็นประหนึ่งตัวแทนของพระเจ้าของเขานั่นเอง (เอ็กโซโด
32.4-6) ถึงแม้ว่าการนมัสการนั้นจะกระทำกันโดยความจริงใจหรือโดยใจสุจริตก็ตาม
ถ้าการนมัสการนั้น ๆ ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ระบุไว้
การนมัสการนั้น ๆ ก็ไม่เป็นที่ยอมรับของพระเจ้า
โดยจิตวิญญาณและความจริง
พระเยซูได้กล่าวว่า ผู้ที่นมัสการพระเจ้าที่แท้นั้นจะต้อง
"เป็นผู้ที่นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง" (โยฮัน 4.23)
การนมัสการนั้นไม่เพียงแต่จะกระทำด้วยความสุจริตใจแล้วเท่านั้น
แต่เราจำเป็นจะต้องปฏิบัติตามแบบที่พระเยซูคริสต์ได้กำหนดเอาไว้
โดยอัครสาวกของพระองค์ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ในการที่จะนมัสการ
"ด้วยความจริง" จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องปฏิบัติตามพระคำของพระเจ้า
พระเยซูได้กล่าวไว้อย่างชัดแจ้งทีเดียวว่าเราต้องนมัสการ "ด้วยความจริง"
เมื่อเราอธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าพระบิดา "ขอโปรดได้ตั้งเขาไว้โดยความจริง
คำของพระองค์เป็นจริง" (โยฮัน 17.17) การที่จะนมัสการ "ด้วยความจริง"
ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามแบบฉบับของพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่
ตลอดทั่วทุกสมัยมีคนที่อ้างตนเองเป็นคริสเตียน
แต่ได้นมัสการพระเจ้าผิดแผกแตกต่างกันไปจากแบบฉบับที่กล่าวไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่
โดยเหตุผลเราก็ทราบว่าพวกเหล่านี้นมัสการพระเจ้าตามแบบฉบับของเขาโดยความสุจริตใจจริง
ๆ และคิดว่าการนมัสการตามแบบฉบับพระคัมภีร์นั้นไม่สำคัญอะไร
เหตุผลในทำนองนี้จะเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับผู้เหล่านั้นที่นมัสการรูปเคารพ พระบาละ
พระดาโฆน พระอัศธาโรธ หรือรูปเคารพโคที่ทำด้วยทองคำ
ซึ่งไม่ต้องพูดถึงศาสนาสมัยใหม่ที่สอนเท็จ
พวกเหล่านี้เป็นพวกที่ปฏิเสธไม่เชื่อพระเยซู
มากยิ่งกว่าความจริงใจ
แม้ว่าความจริงใจมีความสำคัญยิ่งยวดในการที่จะให้การนมัสการเป็นที่ยอมรับ
แต่ความจริงใจแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นยังไม่พอ
บางคนอาจยังสงสัยว่าเคยมีผู้นมัสการเป็นจำนวนมากที่มีความศรัทธาจริงใจ
ตามที่เราได้กล่าวไปแล้ว คือนิกายต่าง ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะมีความศรัทธาด้วยใจจริงก็ตาม
แต่การกระทำที่ไม่เชื่อฟังบัญญัติขงพระเจ้าจะเป็นที่ยอมรับไม่ได้ เปาโลได้ข่มเหงคริสเตียนด้วยความเชื่อคิดว่าการกระทำของเขานั้นเป็นการถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
แต่ภายหลังเปาโลทราบว่าการกระทำด้วยความเชื่อของเขานั้นเป็นความบาปอันร้ายแรงทีเดียว
(กิจการ 22.38, 23.1) เพราะฉะนั้นการนมัสการอันเป็นที่ยอมรับนั้น
ต้องกระทำตามคำสั่งของพระคัมภีร์จึงเป็นการถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
บางคนอาจจะให้เหตุผลว่า ในการกระทำพิธีระลึกนั้นควรจะใช้ขนมเค้ก
และน้ำจำพวกเครื่องดื่มเพิ่มเข้าไป
เพื่อจะทำให้พิธีระลึกนี้เป็นที่ชักชวนยิ่งขึ้นแก่คนทั่วไป
บางคนอาจจะอ้างว่าการกระทำอย่างนี้ด้วยความจริงใจก็ย่อมทำได้ และ
"พระคัมภีร์ก็ไม่ได้ห้ามอะไร"
คนส่วนน้อยที่มีจิตใจแบบชาวโลกก็มีจิตใจคล้อยตามไป
และไม่ยืนหยัดปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูคริสต์เจ้า
ความประสงค์ในตอนนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า การนมัสการของเราจะเป็นที่ยอมรับได้นั้น
เราจะต้องนมัสการตามแบบฉบับของพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ แต่ไม่ใช่ตาม "ความคิด"
หรือมันสมองของเราเอง เราคงจำพระคำของพระเจ้าได้
"เพราะความคิดของเราไม่เหมือนความคิดของเจ้า
และทางของเราก็ไม่เหมือนทางของเจ้า" (ยะซายา 55.8)
บางทีเราอาจจะคิดว่าการนมัสการอันดูเสมือนยิ่งใหญ่และน่าทึ่ง
ซึ่งที่แท้จริงแล้วการนมัสการแบบนี้เป็นที่น่าสะอิดสะเอียดในสายพระเนตรของพระเจ้า
ข้อพิสูจน์อันสำคัญเพื่อจะให้เราทราบว่าการนมัสการนั้นจะเป็นที่ยอมรับหรือไม่ก็คือ
"อำนาจในการนมัสการแบบนั้นมีอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่หรือเปล่า?"
เราจะได้เห็นกันต่อไปว่า การนมัสการแบบสมัยใหม่อันเป็นการปฏิบัติ ที่เขาใช้กันทั่ว
ๆ ไป การนมัสการแบบนี้เราไม่สามารถพบได้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่
ตราบใดที่พวกอัครสาวกยังมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากที่อัครสาวกสิ้นชีวิตไปแล้ว
การนมัสการอันเป็นความคิดเห็นของมนุษย์ก็ได้อุบัติขึ้นแม้จะมีการคัดค้านก็ตาม
พระเยซูสอนว่า ในการที่มนุษย์เปลี่ยนแปลงแผนการของพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นในกรณีใดก็ตาม
การนมัสการนั้นก็จะไม่มีประโยชน์อันใดเลย
ข้อความต่อไปนี้เป็นข้อความที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงตรัสไว้เกี่ยวกับคนเหล่านี้ที่ฝ่าฝืน
"เขาปฏิบัติเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาคำของมนุษย์สอนว่าเป็นพระบัญญัติ" (มัดธาย
159, วิวรณ์ 22.18-19, ฆะลาเตีย 1.8-9)
ความเอนเอียงในการ "เปลี่ยนแปลง" แผนการของพระเจ้าไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่
การปฏิบัติอย่างนี้เป็นที่ตำหนิโทษตลอดทุกยุคทุกสมัย พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บอกถึงเรื่องการที่กษัตริย์ซาอูลตั้งใจที่จะ
"เปลี่ยนแปลง" คำตรัสสั่งของพระเจ้า เมื่อคราวที่ได้นำความพินาศไปสู่แผ่นดินอะมาเลค
ในครั้งนั้นซาอูลได้ลักลอบเอาแกะชนิดดีเป็นสมบัติของตนเอง
โดยให้เหตุผลว่าจะเอามาเพื่อจะ "ช่วย" ในการนมัสการพระเจ้าให้ยิ่งใหญ่ขึ้น
เราจำได้ว่าพระเจ้าไม่ให้อำนาจแก่กษัตริย์ซาอูลในการกระทำของเขา
ผลแห่งการที่ซาอูลขัดคำสั่ง พระเจ้าจึงได้ตัดกษัตริย์ซาอูลออกจากสาระบบกษัตริย์แห่งยิศราเอล
(2พงศาวดารกษัตริย์ 15, บทเพลงสรรเสริญ 19.13)
อีกรายหนึ่งซึ่งปรากฏในพระคัมภีร์เดิม คือปุโรหิตสองคนชื่อ นาดาบ กับ อะบีฮู
(เลวีติโก 1.1-2) พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้อธิบายให้เราทราบว่า สองคนนี้ได้
"เปลี่ยนแปลง"
คำสั่งของพระเจ้าโดยการที่ปุโรหิตทั้งสองได้นำเอาไฟอื่นที่พระองค์มิได้ตรัสสั่งให้ใช้"
ด้วยการปฏิบัติที่ไม่สมกับการเชื่อฟัง "และมีไฟออกมาจากพระยะโฮวา
เผาเอาสองคนนั้นให้ตายต่อพระพักตรพระยะโฮวา" (ข้อ 2)
สองคนนั้นไม่มีเวลาที่จะได้แก้ตัวต่อพระเจ้าได้เลยว่า
"พระเจ้าไม่ได้สั่งแก่เราและพระองค์ก็มิได้สั่งห้ามมิให้นมัสการแบบนี้
เพราะฉะนั้นเมื่อพระเจ้าไม่ได้ตรัสห้ามเอาไว้ ก็ใช้ได้"
ความประสงค์ในตอนนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าพระเจ้ามิได้ทรงบอกให้เราทราบสารพัดทุกสิ่งที่เราไม่สามารถใช้นมัสการพระองค์ได้
เพราะถ้าทำเช่นนั้นหนังสือพระคัมภีร์ก็คงจะหนาเป็นร้อย ๆ ไมล์ทีเดียว
เมื่อพระองค์บอกเราว่า เราต้องทำประการใด
เราก็ต้องทำอย่างนั้นโดยอัตโนมัติ
สิ่งที่พระองค์ไม่ได้สั่งจะนำมาเกี่ยวข้องย่อมไม่ได้
ดังนั้นเมื่อพระคัมภีร์บอกให้เราใช้ขนมปังไม่มีเชื้อ ในการทำพิธีระลึก
นั่นหมายความว่า เราจะใช้สิ่งอื่นแทนขนมปังไม่มีเชื้อ เช่น ขนมเค้ก, ขนม,
ข้าวเหนียว, ขนมปังปอนด์ ย่อมไม่ได้
หลักการอันนี้ย่อมเป็นความจริงทุกเมื่อไม่ว่าจะเป็นการนมัสการหรือการที่เราจะต้องสำแดงการเชื่อฟังในด้านอื่น
ๆ ก็ตาม
กลับมานมัสการตามแบบพระคัมภีร์ใหม่
การนมัสการตามแบบพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ เป็นการนมัสการที่ได้รับการดลใจ
พระเจ้าและบรรดาอัครสาวกเป็นผู้สั่งสอน
อันเป็นแบบฉบับในการนมัสการที่ถูกต้องแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นในทุกวันนี้
อันตรายอย่างหนึ่งในการล้มเหลวไม่ปฏิบัติตามแบบฉบับนี้
ก็คือว่าการปฏิบัติซึ่งไม่ตามแบบพระคัมภีร์ในการนมัสการนั้น
มักจะปฏิบัติกันมาเป็นเวลานานจนในที่สุดคนส่วนมากยอมรับการปฏิบัติเช่นว่านี้
โดยไม่รู้สึกละอายเลย แม้ว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์มิได้ให้อำนาจในการปฏิบัติเช่นนั้น
และเราไม่สามารถจะอ่านพบการปฏิบัติที่นอกรีตในพระคัมภีร์
เพราะเราไม่สามารถจะพบการปฏิบัติเช่นนั้นในพระคัมภีร์
ซึ่งเป็นพระคำของพระเจ้า เราก็สามารถจะกล่าวไว้ว่าเป็น "คำสั่งสอนของมนุษย์"
ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้กล่าวว่า เป็นการนมัสการที่เปล่าประโยชน์ (มัดธาย 15.9)
พระคัมภีร์สอนว่า แบบของการนมัสการซึ่งพระเยซูคริสต์เจ้า
และอัครสาวกได้วางหลักการเอาไว้ ซึ่งง่ายแก่การที่เราจะเข้าใจได้
การนมัสการนั้นแบ่งเป็น 5 อย่างด้วยกัน 1.การอธิษฐาน 2.เทศนาสั่งสอน
3.การถวายทรัพย์ 4.พิธีระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า 5.การร้องเพลง
ดังเราจะได้ศึกษาถึงความสำคัญทั้ง 5 ประการนี้โดยย่อ ๆ ดังต่อไปนี้
การอธิษฐาน
ความสำคัญของการอธิษฐานนั้นก็เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้ว
โดยไม่จำเป็นนำมากล่าวมากมาย ข้อพระคัมภีร์ที่ควรทราบมี กิจการ 2.42, 12.5
และ 12, 16.25, 20.36, 1เธซะโลนิเก 5.17, 1ติโมเธียว 2.1,
2, 3, โรม8.26 ถึงแม้เกี่ยวกับการอธิษฐานนี้
ก็ยังมีบางคนเปลียนแปลงบ้างเหมือนกัน เช่นเป็นต้นว่าการอธิษฐานต่อนางมาเรีย
หรือ แก่ "สิทธิชน" หรือการอธิษฐานผ่านมนุษย์ พระคัมภีร์กล่าวว่า
"มีคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์" (1ติโมเธียว 2.5)
และในพระคัมภีร์ไม่มีสักแห่งเดียวที่ยกย่องนางมาเรียเป็นตำแหน่งคนกลาง
และก็ไม่มีอะไรบอกให้เราทราบว่า นางมาเรียมีอำนาจทัดเทียมกับพวกอัครสาวกที่ซื่อสัตย์
(มัดธาย 12.46-50) การอธิษฐานต่อ "สิทธิชน" เป็นผลของความคิดมนุษย์
ซึ่งไม่มีพระคัมภีร์กล่าวยืนยัน แม้ว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้
(วิวรณ์ 19.10, กิจการ 10.15-26)
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติอย่างนี้ก็นับได้ว่าเป็น "คำสั่งสอนของมนุษย์"
และการนมัสการนั้นเป็นการไร้ประโยชน์ (มัดธาย 15.9)
การเทศนา
ก็เหมือนกับเรื่องของการอธิษฐาน
ความสำคัญถึงเรื่องการประกาศพระกิตติคุณก็เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง
ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายมากมายอะไร ข้อพระคัมภีร์ที่สำคัญ คือ กิจการ 20.7,
ฆะลาเตีย 1.8-9, 1โกรินโธ 1.21, กิจการ 2.42
ถึงแม้ว่าการเทศนานี้ก็เหมือนกัน มนุษย์ก็มักจะเหินห่างจากทางของพระเจ้า
คือการที่อนุญาตให้สุภาพสตรีเทศนาสั่งสอนในที่ประชุม
"เพราะไม่ทรงยอมให้เขาพูด แต่ให้เขาอยู่ใต้บังคับบัญชา
เหมือนที่มีคำทรงบัญญัติไว้แล้วนั้น" (1โกรินโธ 14.34) อีกครั้งหนึ่ง
เราอ่านพบว่า "ข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสั่งสอน หรือใช้อำนาจเหนือผู้ชาย
แต่ให้เขานิ่งอยู่" (1ติโมเธียว 2.12)
ทั้งนี้มิได้หมายความว่าผู้หญิงจะสอนพวกผู้หญิงและเด็กไม่ได้ (ติโต 2.3-4)
การถวาย
ใน 1โกรินโธ
16.1-2 พระคัมภีร์ได้บอกว่า การถวายทรัพย์นั้นกระทำกันในวัน "ต้นสัปดาห์"
(วันอาทิตย์) แม้ว่าเราจะได้รับความสนับสนุนในพระกิตติคุณถึงสิทธิของคริสเตียนทุกคนที่จะถวายตามความศรัทธาของตนได้ตามใจชอบ
วิธีบังคับอย่างหนึ่งอย่างใดไม่เคยใช้เลย
ถ้าการถวายเป็นวิธีบังคับอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ว่าเงินถวายนั้นจะมากมาย
การถวายนั้นก็ไม่เป็นที่ยอมรับ (2โกรินโธ 9.7)
ด้วยเหตุประการนี้เองการเก็บรวบรวมเงิน เราจึงมิได้เก็บทุก ๆ
ครั้งที่มีการประชุมร่วมสามัคคีธรรม (นอกเหนือจากวันต้นสัปดาห์)
การปฏิบัติเช่นนี้เราไม่อ่านพบในพระคัมภีร์ ข้อพระคัมภีร์ที่สัมพันธ์กันคือ
2โกรินโธ 8.1-8, มัดธาย 19.29, ลูกา 21.1-4
การทำพิธีระลึก
การกระทำพิธีระลึกถึงพระเยซูเป็นหน้าที่ของคริสเตียนทุกคน
อันเป็นประสบการณ์ยิ่งใหญ่ทีเดียว พระเยซูตรัสเกี่ยวกับขนมปังว่า
"จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา" (1โกรินโธ 11.24-25, ลูกา
22.19-20) การร่วมพิธีระลึกจึงไม่ควรเพียงแต่เป็นหน้าที่เท่านั้น
แต่เป็นสิทธิอันน่าเทิดทูนจริง ๆ เปาโลได้กล่าวว่า
"เมื่อท่านทั้งหลายกินขนมปังและดื่มจากจอกนี้เวลาใด
ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า กว่าพระองค์จะเสด็จมา"
ในพระคริสตธรรมใหม่
พิธีระลึกถึงองค์พระเยซูได้กระทำกันทุก ๆ วันอาทิตย์
ทั้งประวัติศาสตร์โลกและพระคัมภีร์ได้ชี้ให้เห็นว่า
ตราบใดที่อัครสาวกยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้กระทำกันเดือนละครั้ง
หรือสามเดือนครั้ง
จนกระทั่งพวกอัครสาวกสิ้นชีวิตแล้วจึงได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ในหนังสือกิจการเราได้อ่านเกี่ยวกับการถือพิธีระลึกของพวกคริสเตียน
ในพระคัมภีร์ใหม่ดังข้อความต่อไปนี้ "ในวันอาทิตย์
เมื่อเราทั้งหลายประชุมกันทำพิธีหักขนมปัง เปาโลก็กล่าวสั่งสอนเขา..."
(กิจการ 20.7) เราเรียนจากข้อนี้ และ 1โกรินโธ 16.1-2
เราก็พบว่าวันอาทิตย์เป็นวันที่ร่วมประชุมกันเป็นประจำในการที่จะ "หักขนมปัง"
หรือกระทำพิธีระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า
ตามหลักฐานในประวัติศาสตร์ก็บ่งชัดว่า การกระทำพิธีระลึกนั้น
เขากระทำกันในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นการปฏิบัติของคริสตจักรเริ่มแรก
บางคนอาจจะค้านว่า อาจจะไม่ใช่ทุกวันอาทิตย์ก็ได้ ตามที่กล่าวไว้ในกิจการ
20.7 ให้เราดูข้อความใกล้เคียงกัน พระเจ้าได้ตรัสว่า
"จงระลึกถึงวันซะบาโต และจงตั้งไว้ให้เป็นวันบริสุทธิ์" (เอ็กโซโด 20.8)
พวกยิวอาจจะปฏิเสธว่า คำสั่งนี้มิได้หมายถึง "ทุกวันซะบาโต"
ผู้ที่ขัดขืนไม่เชื่อฟังแม้แต่นิดเดียวก็ต้องถูกลงโทษ (อาฤธโม 15.32-36)
เรายังได้อ่านพบใน 1โกรินโธ 16.1-2 พระคัมภีร์กล่าวว่า
การถวายทรัพย์นั้นได้กระทำกัน "ทุกวันต้นสัปดาห์" ข้อ2
ถ้ากระทำพิธีระลึกน้อยครั้งไม่เหมือนกับพวกอัครสาวกและยังรื่นรมย์กันอยู่
ถ้าอย่างนั้นแล้วเมื่อเราใช้เหตุผลเกี่ยวกับการร้องเพลง, การอธิษฐาน
และการถวายทรัพย์ ทำไมไม่ใช้เหตุผลในทำนองเดียวกันล่ะ?
การร้องเพลง
ลักษณะที่ดูเหมือนแปลกสักหน่อยเกี่ยวกับการนมัสการตามพระคริสตธรรมใหม่
คือว่าดนตรีนั้นไม่เกี่ยวข้องเลย เราไม่สามารถอ่านพบได้สักแห่งเดียวในพระคริสตธรรมใหม่ว่ามีการใช้เครื่องดนตรีในคริสตจักร
ไมว่าจะเป็นอัครสาวกหรือสานุศิษย์ที่ซื่อสัตย์คนใด
แม้การใช้เครื่องดนตรีมักจะใช้กันอย่างกว้างขวางในสมัยนั้นเกือบทุก ๆ
คณะทุกกลุ่มทีเดียว ประวัติศาสตร์ของโลกได้บันทึกว่าเครื่องดนตรีเป็น
"คำสั่งของมนุษย์" โดยแท้ โดยเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.666
หลายร้อยปีหลังจากที่อัครสาวกได้ตายไปแล้ว
ซึ่งพระคัมภีร์มิได้ให้อำนาจในการปฏิบัติเช่นนี้เลย พระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่สั่งให้คริสเตียนทั้งหลายร้องเพลง
(ดนตรีด้วยปา Vocal Music)
เหมือนกับที่พระเจ้าส่งให้โนฮาต่อเรือด้วยไม้โกเฟอร์ (เยเนซิศ 6.14,
เอเฟโซ 5.19, โกโลซาย 3.16) การที่เริ่มจะเพิ่ม เปียโน, ออร์แกน,
กีต้าร์เข้าไปพร้อมกับการนมัสการเป็นการละเมิดตามหลักการอันเดียวกันที่ใช้กับโนฮา
ถ้าโนฮาจะละเมิดโดยใช้ไม้สนปนกับไม้โกเฟอร์ในการที่พระเจ้าสั่งให้ต่อเรือ
โนฮาได้ใช้เหตุผลเหมือนกับผู้เหล่านั้นที่เพิ่มขนมเค้ก หรือเครื่องดื่ม
ในการทำพิธีระลึก หรือเพิ่มเครื่องดนตรีในการนมัสการพระเจ้า
อันเป็นสิ่งที่ "พระเจ้ามิได้สั่งห้ามไม่ให้กระทำ"
พระเจ้าเพียงแต่บอกให้ใช้ไม้โกเฟอร์ แต่พระองค์มิได้ห้ามไม้อื่น ๆ
ตามที่เราได้เรียนบทเรียนเมื่อตอนต้น ๆ ถึงนาดาบกับอะบีฮู
เราทราบว่าพระเจ้ามิได้บอกให้เราทราบถึงทุกสิ่งที่ไม่ควรทำเกี่ยวกับการนมัสการ
แต่พระเจ้าได้สั่งและได้ให้อำนาจแก่เราว่าเราต้องทำอย่างไรบ้าง อันเป็นคำสั่งโดยเฉพาะเจาะจง
(เลวีติโก 10.12)
มีหลายสิ่งหลายดูเหมือนเป็นที่พออกพอใจในสายตาของเรา
แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าที่จริงเป็นเรื่องสะอิดสะเอียน (ยะซายา 55.8)
เครื่องดนตรีเป็นเครื่อง "ช่วย" เหมือนกับที่บางคนอ้างอย่างนั้นหรือ? แน่นอน
อัครสาวกผู้ซึ่งได้รับการดลใจ และเป็นผู้ที่รักคริสตจักรมากยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง
ถ้าอัครสาวกเห็นด้วยเขาก็คงจะใช้เครื่องดนตรีในการนมัสการพร้อมกับการเผาสัตว์เป็นเครื่องบูชาและการเผาเครื่องหอม
การปฏิบัติอย่างดาวิดเช่นนี้ เราไม่พบตามแบบของคริสตจักรในพระคัมภีร์ใหม่
(โปรดดูบทเรียนบทที่ 3)
การนมัสการตามแบบคริสตจักรในพระคริสตธรรมใหม่ก็ง่ายและสละสลวยมากกว่า
และเราจะได้นำมาอภิปรายอีกในบทที่ 7 และ บทที่ 8
ตอบคำถาม คลิกที่นี่ https://docs.google.com/forms/d/1Dgh6Ln30TjakzjwCI6f4HRjktLXmuSvICd1A7gmZaIM/viewform?usp=send_form